ลาออกอีกแล้ว? ทำไมและยังไง

Mizusora
2 min readMar 14, 2022

สิ่งที่ตกผลึกได้จากการลาออก 2 ครั้งในระยะเวลา 1 ปี

อาทิตย์นี้เป็น unemployed week ของเรา เพราะมันคือแก๊ปว่างงานก่อนเริ่มงานใหม่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาอัพบลอคเล่าในสิ่งที่เล่าได้แอบลำบากในช่วงขณะที่เป็นมนุษย์เงินเดือนกันดีกว่า

Office vector created by storyset

ตามคำโปรยใต้บลอคนั่นแหละ เราลาออกจาก 2 บริษัทภายในระยะเวลา 1 ปี
และนี่คือสิ่งที่เราตกผลึกได้ 👇

ในการทำงาน ณ ที่หนึ่งๆ สำหรับเรา มันมีความสัมพันธ์อยู่ 3 ประเภท:

People illustrations by Storyset

1. ความสัมพันธ์ระยะยาว — Company culture & structure

วัฒนธรรมและโครงสร้าง คือตัวตนที่แท้จริงของบริษัทนั้นๆ มันคือสิ่งที่ทุกคนต้องเชื่อและต้องทำเพื่อเติบโตไปพร้อมๆกับบริษัท จะ Blend-in ไปตามได้มากน้อยก็แล้วแต่บุคคล และต่อให้เราไม่ได้ทะเยอทะยานอยากเติบใหญ่หรือเป็นผู้นำใครๆ การมองสิ่งที่หัวหน้าหรือระดับเฮดๆของบ.ทำอยู่ จะช่วยให้เห็นภาพว่าการทำงานหรือคุณลักษณะนิสัยแบบไหนคือ “สิ่งที่ใช่” ของบริษัทนั้นๆ

ส่วนตัวเราเป็นคนเรื่องมากประมาณนึง สเปคบริษัทที่เลือกจะคัดมาแล้ว (แต่ก็ยังเฟล ลาออกแทบทุกปีอยู่ดี 😶) สเปคคร่าวๆคือต้องเป็นบริษัทอินเตอร์ประมาณนึง ไม่ seniority จ๋า ไม่การเมืองหนัก ไม่เห็นค่าความอยู่นานมากกว่าความสามารถ ไม่บูชาการทำงานหนักว่าเป็นความทุ่มเท see employee as a person and treat us well ไม่เอาอารมณ์เฮดๆเป็นใหญ่ในการตัดสินใจ มีระบบระเบียบให้เป็นแก่นไว้ยึดเหนี่ยวแต่ก็ไม่ strict เกินไปจนขยับตัวไปไหนไม่ได้ ฯลฯ

…แต่ก็ว่าแหละนะ การสัมภาษณ์ไม่กี่ครั้งไม่สามารถช่วยให้เราเห็นทุกอย่างของบริษัท จนเราเข้าไปผจญภัยเองนั่นแหละ

เพราะงั้น เราจึงเรียกมันว่าความสัมพันธ์ระยะยาว เพราะมันอาจจะไม่กระทบกับเราโดยตรง แต่ถ้าเราจะอยู่นานๆเติบโตไปเรื่อยๆคือมันจะส่งผลแน่ๆ โดยเฉพาะถ้าจริตเราไม่ตรงกับบ. การเปลี่ยนแปลงบริษัทก็อาจจะพอทำได้ แต่มักจะยุ่งยากและใช้เวลานานพอสมควร

สองบ.ที่ผ่านมาเรารู้ตัวว่า Company’s culture ไม่แมทช์ เลยแอบ question กับบ.ไปบ้าง (ซึ่งเรา reflect กับหัวหน้าตลอด หาทางแก้ไขไปด้วยกันตลอด) แต่ตัวเร่งปฏิกิริยาในการยื่นใบลาออกจริงๆมันคือข้อถัดไป

Work illustrations by Storyset

2. ความสัมพันธ์ระยะกลาง — Work content

เราเป็นมนุษย์เงินเดือน งานหลักของเราคือการทำงาน เพราะงั้นเนื้อหาของงานจะเป็นสิ่งที่ติดพันกับเราที่สุด เป็นสิ่งที่เราต้องเจอมันทุกวัน และมันจะเกี่ยวพันกับเราไปจนถึงอนาคตอันใกล้ อย่างน้อยในระยะ 1 ปี+- เราก็ต้องใช้ชีวิตการทำงานส่วนใหญ่ไปกับเนื้องานนั้นๆ

สำหรับเรา Red flag ที่รุนแรงมากๆคือเมื่อเราเริ่มถามตัวเองบ่อยๆในแต่ละวัน ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราได้อะไรจากงานตรงนี้ และ/หรือ เรา contribute อะไรให้กับงานตรงนี้ ถ้าเราถามตัวเองซ้ำๆ คำตอบไม่น่าพอใจซ้ำๆ ผนวกกับความไม่ตรงจริตในข้อแรก ปลายทางคือการลาออกแน่นอน ถ้าไม่ชอบเนื้องาน ทนซักปีก็อาจจะยังพอ rotate ไปตำแหน่งอื่นได้ แต่ถ้าไม่ชอบ Company’s culture & structure ด้วยก็ไม่รู้จะฝืนอยู่ต่อไปในระยะยาวที่ไม่น่าพึงใจไปทำไมเหมือนกัน

เอาจริงเคยคุยเรื่องนี้กับแฟน ต่อให้เรามี valid reason ในการลาออกแต่ละที่ การเปลี่ยนงานมา 4–5 ที่ก็ชวนทำให้ recruiter กังวลเหมือนกัน เพราะเหตุผลลาออกมันก็คลาสสิค ทำไมคนอื่นทนได้แต่เราทนไม่ได้?

…แต่ก็อีกนั่นแหละ ทุกครั้งที่เราเปลี่ยนบริษัท เปลี่ยนสายงาน มันก็มีที่ๆพร้อมจะต้อนรับเราอยู่ เลยยังไม่เคยได้ลองทนให้ถึง 2 ปีซักที ;w;

เราให้ความสำคัญกับ factor นี้มากที่สุด เพราะมันใกล้ตัวแบบที่เราเจอมันทุกวันแถมอยู่ยาวพอที่จะส่งผลไปถึงอนาคตอันใกล้ของเราด้วย เราจะเดินไปต่อยังไง มีของในมือมากน้อยแค่ไหน ทุกอย่างคือผลลัพธ์จากเนื้องานทั้งสิ้น ถ้าจะให้แนะนำอะไรใคร ก็คงอยากบอกว่าให้ใส่ใจเนื้องานและวางแผนต่อยอดจากมันให้ได้ดีๆนั่นแหละ

People illustrations by Storyset

3. ความสัมพันธ์ระยะสั้น — People

ส่งท้ายด้วยสิ่งที่เราไม่เคยพบเจอว่าเป็นปัญหา แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงมากพอจะยื้อให้เราอยู่ต่อ 😂 คือบุคคลากรในบริษัทนั้นๆ aka เพื่อนร่วมงาน ผู้คนรอบตัว

การที่เราเรียกว่า “ความสัมพันธ์ระยะสั้น” ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่พอย้ายทีม ย้ายบ.แล้วจะจบกัน แต่ผู้คนคือสิ่งที่ effect กับชีวิตการทำงานในระยะที่สั้นมากๆเมื่อเทียบกับตัวเนื้องานหรือวัฒนธรรมบริษัท ถ้าเจอคนไม่ดี เรารีพอร์ท เราท้าชน เราเปลี่ยนคนได้ ส่วนคนดีๆที่เป็นมิตรกัน เราสืบสานสัมพันธ์ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะ “เพื่อนร่วมงาน” หรือไม่ก็ตาม

2 บริษัทที่ผ่านมาเราโชคดี เจอแต่คนดีๆ เพื่อนร่วมทีมที่น่ารัก stakeholders ที่ทำงานด้วยง่าย (อาจจะมีอยากหยุมหัวบ้างเวลางาน conflict แต่จบงานแล้วก็จบกัน ไม่เอามาปน) หรือแม้กระทั่งคนเดินผ่านมาผ่านไป รู้จักกัน คุยเล่นกัน แต่ไม่ได้ทำงานโดยตรงด้วยกันก็ยังเฟรนลี่ หัวหน้าที่เราเจอทุกคนใจดี รับฟังความคิดเห็นตรงๆของเรา (and never take it personally //กราบ) พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเราเสมอ เราสบายใจมากๆที่มีทุกคนรอบข้าง ช่วยให้เราผ่านแต่ละวันไปได้อย่างไม่โหดร้ายเกินไป แต่ก็อย่างที่บอกไป ต่อให้ทีมดีแค่ไหน เนื้องานไม่ตอบโจทย์ วัฒนธรรมที่ไม่ถูกจริต ปัญหามันก็จะยังคงค้างคาอยู่ต่อไป แล้วสุดท้ายเราก็ลาออกอยู่ดี

เพราะมิตรภาพจะยังคงอยู่ต่อไป ไม่ว่าเราจะย้ายไปที่ไหนก็ตาม :)

ส่งท้ายนิดนึง ถ้าใครตามบลอคเราคงจะพอรู้เรื่องที่เราเป็น Career path explorer มาโดยตลอด ที่ทำงานใหม่ที่ล่าสุดที่กำลังจะเริ่มงานก็ยังถือว่าเป็นการเปลี่ยนสายอยู่ดี เราเปลี่ยนสายแทบทุกครั้งที่เปลี่ยนงานแหละ ด้วยวัย 30 กับการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุด เราเองก็พอ sense ได้ว่าเริ่มใกล้หมดเวลากับการ explore สายงานแล้ว (เพราะเราก็เปลี่ยนสายมาแทบจะทุกสายที่เกี่ยวข้องกับ Product team แล้วแหละ…) ขนาด Analyst, QA ที่ไม่เค๊ยยยยยคิดที่จะเป็นก็เป็นมาหมดแล้ว 😂 เหลือแค่ PO/PM ที่ชั่วโมงบินยังไม่สูงพอแล้วแหละนะ

แค่อยากแชร์ว่า เราก็ยังแฮปปี้กับการเปลี่ยนสายไปเรื่อยๆนะ หลายๆอย่างเราไม่มีวันรู้ถ้าเราไม่ได้เอาตัวเองไปลงมือทำจริงๆ แล้วทุกสกิลที่ติดมือกลับมาจากแต่ละสายงาน เราเอามันไปใช้ประโยชน์ได้เสมอ แล้วเราก็รู้สึกว่า ต่อให้สกิลที่เรามีจะ niche แค่ไหน สุดท้ายมันจะก็ยังมีที่ๆต้องการเราในแบบนั้นอยู่ดี (การันตีด้วยการเปลี่ยนสายงานสำเร็จเสมอนั่นแล~)

แค่เราต้องกล้า.. และหามันให้เจอ ;)

--

--