How to: ย้ายสายจาก Dev ไป UX

Mizusora
3 min readNov 1, 2020

แชร์ประสบการณ์ตรงและขั้นตอนในการเปลี่ยนสายงานแบบลงดีเทล

เมื่ออาทิตย์ก่อนได้เข้าไปร่วมวงสนทนาของน้องๆที่สนใจในสายงานด้าน UX โดยที่บางก็เป็น Dev บางคนก็ทำงานสาย IT อื่นๆ ตัวเราเองก็ได้แชร์ประสบการณ์และความคิดที่มีกลับไป พร้อมกับมนุษย์ UX อีกจำนวนหนึ่งในวงสนทนานั้น พอกลับมาบ้านก็เลยรู้สึกว่าอยากมาลองแชร์ประสบการณ์ตรง ลงดีเทลให้มันสุดๆไปเลย เพราะถึงแม้ว่าบลอคที่แล้วจะพูดถึงการเปลี่ยนสายไปแล้ว แต่มันเป็นแค่มุมมองกว้างๆ ไม่ใช่ Hand-on แบบอ่านจบปุ๊บ ทำปั๊บ ยื่นสมัครงานได้เลย

บลอคนี้เลยจะมาพูดถึงการเตรียมตัว เตรียมใจ แล้ววิ่งเข้าใส่ตำแหน่ง UX จากคนที่เคยเป็น Developer มาก่อน :3

*หมายเหตุ* เป็นประสบการณ์ส่วนตัว ซึ่งแต่ละคนมีมุมมองและบรรทัดฐานต่างกัน กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน และอีกอย่างที่ต้องย้ำคือ ข้อมูลชุดนี้เก่าแล้วนะ อาจจะไม่ได้อัพเดททันโลกปัจจุบันเท่าไหร่ (เราตั้งเป้าจะย้ายสายราวๆ 4ปีครึ่งก่อนหน้านี้ เตรียมตัวยื่นป.โทครึ่งปี เรียนโทอีก 2 ปี แล้วกลับมาสมัครงานเป็น UX ครั้งแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว)

ถ้าพร้อมแล้วก็ ไปกันเลยยย (Photo from Pexels)

1. ถามตัวเองให้แน่ใจ

อะ แน่นอน การเปลี่ยนสายคือการเริ่มต้นใหม่ แล้วการเปลี่ยนสายไปเลยอย่างจริงจังคือการเริ่มใหม่จากศูนย์ เพราะงั้นสิ่งแรกที่แนะนำให้ทำคือการคุยกับตัวเองก่อน ตกลงกับตัวเองก่อน ว่าทำไมถึงอยากเปลี่ยนสาย ทำไมถึงไม่อยากทำงานปัจจุบันแล้ว แล้วทำไมถึงอยากไปสายใหม่ แล้วถ้าไปสายใหม่แล้วเจอปัญหาแบบเดิมจะทำยังไง จะรู้สึกยังไง จะยังทำมันอยู่มั๊ย หรือถ้ายังไม่แน่ใจ ถามตัวเองว่าพร้อมเสี่ยงแค่ไหน รับความล้มเหลวได้มากเท่าไหร่ Hint ให้นิดนึงว่าถ้าล้มเร็วก็ลุกได้เร็ว อย่ากลัวพลาด อย่ากลัวเสียเวลา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วย่อมดีเสมอ ;3 (การันตีจากคนที่ปัจจุบันไม่ได้ทำงาน UX แล้วแต่ไม่เคยเสียใจที่ตัวเองเปลี่ยนสายมาทางนี้เลย เดี๋ยวอธิบายเพิ่มท้ายบลอค)

ส่วนตัวเรา ถ้าอิงจากบลอคที่แล้วก็นั่นแหละ งานเขียนโค้ดคือสิ่งที่เราทำได้ ก็สนุกดี แต่พออยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนเก่งๆเยอะๆแล้วก็รู้สึกว่าเราไม่ได้ into it แบบเขา แล้วเรามองไม่เห็นภาพตัวเองเขียนโค้ดไปตลอดชีวิต ส่วนงาน UX คือการ shift สายไปด้าน Design ที่ตัวเราเองก็สนใจตั้งแต่เด็กๆ แต่เลือกที่จะมาสาย Coding ตอนมหาลัย เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่ out-of-nowhere thing อะ มันเป็นส่วนประกอบในชีวิตเรามาโดยตลอด เลยคิดว่ามันน่าจะพอไปไหว ความเสี่ยงตอนนั้นก็ไม่มี (จบมาทำงานได้ 2 ปี ฐานเงินไม่สูง ไม่มีภาระอะไรมากมาย) ก็เลยโกๆจ้า

2. เตรียมใจ

ถึงแม้ว่าเราจะมั่นใจแล้วเราจะเปลี่ยน มันก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่ยังต้องเตรียมใจนะ แรกสุดคืออุปสรรคในการเปลี่ยนสาย ของที่เรามีในมือปัจจุบัน ไม่ว่าเราจะทำได้ดีหรือแย่แค่ไหน มันอาจไม่มีผลอะไรเลย เหมือนเรียนยูโดมาแต่ต้องไปแข่งฟันดาบอะ แค่เรายื่นมือไปก็โดนอีกฝ่ายเอาดาบจิ้มพุงแล้ว! อย่าเพิ่งรีบไฟท์ ไปหาดาบก๊อนนน

เพราะงั้นเตรียมใจเยอะๆ เราจะต้องเหนื่อยกว่า ต้องพยายามเยอะกว่า เมื่อเทียบกับคนที่จบมาตรงสาย แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เราสะสมมาคือไร้ค่า อย่าง Tech background ในงาน UX คืออาวุธชั้นดี เราสามารถการันตีได้ว่า Design ของเราไม่ลอย ไม่เพ้อฝัน มันทำได้จริง แถมเรายังสามารถต่อรองกับ Dev ได้เก่งกว่าใครด้วย มีอีกคำแนะนำที่ดีจากเพื่อน UX ก็คือ ถ้าเคยโค้ดมาก่อน ขายตัวเองด้วยจุดเด่นนี้ได้ แต่อย่ายอมให้ใครมาเอาเปรียบใช้สกิลนี้จากเรา เช่น รับมาทำงาน UX แต่ไปๆมาๆ ต้อง Design ด้วย เขียนโค้ดเองด้วย กลายเป็นว่าเหมา 2 role แต่เงินเดือนจึ๋งนึง จงยืนหยัดในเส้นทางที่อยากเดิน ถ้าคุยไม่เคลียร์ ถ้าเค้าจะกดให้ได้ เราก็เชียร์ให้ออกมานะ มันไม่คุ้มกันหรอก จงอย่าลืมว่าเราย้ายสายไปทำไม เรามาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องเตรียมใจสำหรับการย้ายสาย นอกจากการแข่งขันที่ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญก็คือออ เงินเดือน 💸 มันอาจจะไม่เพิ่มขึ้นเหมือนปกติเวลาย้ายงานอะนะ อาจจะบวกเล็กน้อย เท่าทุน หรืออาจจะต้องยอมลดลงบ้างเพื่ออนาคตที่ดีกว่าในระยะยาว ก็เตรียมใจไว้ด้วยแหละ ก่อนสัมภาษณ์งานลองตั้งสเกลไว้ในใจก็ดี ว่ายอมเงินต่ำสุดได้แค่ไหน ทำรีเสิร์ชเรื่องฐานเงินเดือนของสายที่จะย้ายไปก็ช่วยให้มีข้อมูลต่อรองได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

ตอนเราย้ายสาย เราทำใจไว้เลยด้วยซ้ำว่าเงินจะลดลง เพราะฐานเงินเดือน Dev มันสูงอยู่แล้วอะนะ แล้วนี่ไปเรียนโทมา 2 ปี กลับมาก็กล้าเรียกเงินเพิ่มแค่ไม่กี่พัน จำได้ว่าตอนนั้นไปคุยๆในวงเพื่อนเรื่องนี้แล้วโดนสวดว่าเรียกน้อยมาก 5555+ ส่วนตัวเราแค่ประเมิณความรู้ ความสามารถที่ตัวเองมีในตอนนั้นๆ ประกอบกับตั้งว่าเงินเดือนเท่าไหร่คือเพียงพอที่เราจะใช้ชีวิตได้อย่างไม่ลำบากและสามารถทำงานคืนกลับให้บริษัทได้ตามที่เค้าคาดหวัง เพราะงั้นก็ แล้วแต่คนอะเนอะ แต่ถ้าใครตั้งเพดานไว้สูง ก็เตรียมคำตอบเวลาเค้าถามกลับมาดีๆละกัน -w-

3. เตรียมตัว

เข้าสู่ของจริงละ ถ้าทุกอย่างมั่นใจแล้ว พร้อมลุยสนามแล้ว ก่อนยื่นใบสมัครงานไปเราต้องมีอะไรบ้าง นี่คือสิ่งที่เราทำ:

Ready, Set, andddddd GO! (Photo from Pexels)

3.1 เตรียมความรู้

แน่นอน แค่ความสนใจมันไม่มากพอให้ใครยอมอ้าแขนรับเราเข้าไปทำงาน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เรายังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลด้าน UX ได้หลากหลายขนาดนี้ ทางออกของเราคือการไปเรียนโท แต่ถ้าเป็นวันนี้ เราจะแนะนำให้ตัวเองอ่านบลอค อ่านบทความ อ่านหนังสือ เข้า workshop เข้า conference เข้า meetup ทั้งหลาย ลองทำงาน mock-up เล่นๆ แล้วเก็บ feedback จากคนรอบตัว ถ้าขยันหน่อยก็รับงานนอก ลองเจอลูกค้าจริงๆ ตบตีกับลูกค้าจริงๆ ทั้งหมดเหล่านี้มันน่าจะเพียงพอที่จะเติมความรู้และอาวุธในมือของเราให้มีมากพอที่จะไปสมัครงานย้ายสายได้ เพราะมันคือการเติมความรู้ทั่งฝั่งทฤษฎีและปฏิบัติ (เน้นย้ำว่าสองอย่างนี้ต้องไปพร้อมๆกัน แค่ฝั่งใดฝั่งนึงมันไม่เพียงพอนะครัช) ทำให้เรารู้และเข้าใจคร่าวๆแล้วว่ากระบวนการคิด การทำงานมันเป็นยังไง แล้วมันก็จะเป็นการยืนยันความรู้สึกเราไปพร้อมๆกันว่าทางที่เราเลือกจะเดินไปต่อเนี่ย มันใช่จริงๆแล้วรึเปล่า

3.2 เตรียมพอร์ท

เมื่อความรู้แน่นแล้ว จะกดสมัครงานแล้ว Portfolio คือการสื่อสารอย่างเดียวที่เราจะ present ตัวเราในฐานะ candidate ได้ แต่ต่อให้พูดว่าพอร์ทก็เหอะ ของเราเองคือไม่มีอะไรเลยยยยย เพราะจากที่พ่นๆมาข้อที่แล้ว เราไม่ได้ทำ… ;w; เราแค่ไปเรียนโทกิ๊กก๊อก เขียนบลอคก๊องแก๊ง แต่เราก็สมัครงานด้วยความมั่นใจที่เรามีอะ 5555+

สิ่งที่เราเอาไปสัมภาษณ์มี 2 อย่าง:

  • Thesis ป.โทที่เราทำเรื่องตุ๊กตาพูดได้ที่จะเชียร์ให้ user ไป interact กับคนอื่นๆ (เน้นอธิบายวิธีพัฒนาไอเดีย กับการทำ quantitative/qualitative research ที่น่าจะ apply กับ user research ได้)
Idea อันเพ้อฝันของนิสิตป.โทคนนึง lol
  • Medium บลอคนี้ที่เราฝึกเขียนเรื่อง UX โดยเน้นบทความที่เราฝึกออกแบบ BNK Market App ตั้งแต่ตั้งต้นไอเดียยันเอาไปเทสกับเพื่อนเราเอง (ความติ่งก็มีประโยชน์นะ 😂) เพราะเราสามารถอธิบายการทำงานทั้งหมดได้แบบครบลูป แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่การทดลองทำแบบผิวๆก็ตาม จะแอบเห็นว่าช่วงนั้นเขียนบลอคภาษาอังกฤษด้วยเพราะอยากฝึกภาษา (+เผื่อสมัครบ.อินเตอร์…)
ออกแบบแอปครั้งแรก จากบลอคเราเอง

ซึ่งถ้าเป็นในวันนี้ เราก็จะยังคงทำแบบเดิมแหละ สำหรับเรา สิ่งที่สำคัญของ Portfolio ไม่ใช่แค่ความสวยงาม ไม่ใช่ความอลังการของผลงานที่ทำ แต่มันคือกระบวนการคิด วิธีการทำงาน การประยุกต์ใช้ความรู้และความสามารถที่เรามีในผลงานนั้นๆมากกว่า คือถ้าได้รับงานนอก ได้ทำงานจริงมันก็ดีแหละ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถทำพอร์ทได้เลยถ้าไม่ได้ลงสนามจริง ทุกอย่างที่ลงมือทำมันมี value เสมอ

ตอนที่เราเป็น UX ที่ Startup ที่แรก เราเองก็มีโอกาสได้สัมภาษณ์น้องๆที่จะมาร่วมทีม (อือ ทั้งๆที่ตัวเองยังทำงาน UX ไม่ถึงปีนั่นแหละ) สิ่งที่เราอยากจะเห็นก็ไม่ใช่ความสวยงาม พอร์ทแน่นๆ จำนวน user สูงๆเหมือนกัน เราแค่อยากรู้ Flow การทำงานว่าเค้าคิดยังไง ทำยังไง พิสูจน์ยังไง ติดต่อใครบ้าง เจออุปสรรคและหาทางแก้ไขยังไง เพราะงั้นจะงานจริงหรืองานทดลอง ถ้าตอบได้เป็นฉากๆ เรายิงคำถามให้คิดต่อยอดไปแล้ว react กลับมาได้ เราก็ว่าคนๆนั้นพร้อมแล้วแหละ

3.3 ทำงานจริง = เจ็บจริง

ขั้นตอนสุดท้ายอันแสนเจ็บปวด 555555+ คือการย้ายสายสำเร็จมันไม่ใช่จุดจบอะ มันคือจุดเริ่มต้น การทำงานจริงๆให้สมกับความไว้วางใจ(และเงินเดือน)ที่บริษัทมอบให้ มันคือสภาพแวดล้อมและการทำงานที่เปลี่ยนไปจากที่สิ่งที่เราคุ้นเคย มีทั้งส่วนที่สนุกที่เราตั้งตารอคอย และสิ่งไม่คาดฝันที่เราต้องกลับมาถามตัวเองว่าจะยังไงดี จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เปลี่ยนสายงานมา 2 รอบแล้ว (//ทำท่าเขินอายแปป) ช่วงประมาณ 3 เดือนทั้งก่อนและหลังย้ายสายคือความสับสนขั้นสุด เราคิดถูกป่าววะ? หรือเราไม่ควรย้าย? ทำไมมันยากจัง? แต่ก็ไม่อยากทำอันเดิมแล้ว? ความคิดตบตีสับสนกันไป เป็นเรื่องธรรมดาของการเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตาม ได้แต่ประคองสติตัวเอง โฟกัสแค่ระยะสั้นไว้ก่อน ค่อยๆจูน ค่อยๆปรับ พอทุกอย่างเริ่มลงตัวแล้ว ค่อยกลับมาคิด มาตัดสินใจว่าทางที่เราจะเลือกเดินต่อไปควรเป็นทางไหนดี อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่ตั๋ว One-way ถ้าย้ายไปแล้วยังรู้สึกไม่โอเคจริงๆ (แต่ต้องทิ้งระยะให้นานพอจนแน่ใจว่าเพราะมันไม่ใช่จริงๆหรือแค่ยังปรับตัวไม่ได้) จะหันหลังกลับไปทางเดิม หรือ explore หาทางที่สาม ที่สี่ มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

และใช่ค่ะ ตอนนี่เราอยู่ทางที่สาม 😂😂😂 ตอนนี้เป็น Business Analyst มาครึ่งปีแล้วค้าบบ เหมือนอย่างที่บอกไปไว้บลอคที่แล้วว่า 6 เดือนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมในการ confirm กับตัวเอง ซึ่งตอนนี้ตกผลึกแล้วว่าเราชอบด้าน UX แหละ แต่มันก็เป็นแค่ Personal interest ไม่ใช่ Professional interest เราสนใจด้าน Design แต่เราไม่ได้อยากทำงานด้านนั้น (อาจจะเพราะเวลายังไม่พร้อม เรายังไม่พร้อม หรือบริษัทปัจจุบันอาจจะยังไม่พร้อม 🙈) แต่เราไม่เคยเสียดายที่เราได้ย้ายสายไปลองทำงานนั้นๆ และเราคงไม่มีวันรู้ถ้าเราไม่ได้ทำมัน แถมความรู้ ทักษะใดๆก็ตามที่เราได้จากการย้ายสายครั้งนั้น ปัจจุบันมันก็ยังได้ใช้อยู่ แล้วเราก็ต่อยอดมาถึงทุกวันนี้ได้ก็ด้วยการตัดสินใจครั้งนั้น มันไม่ใช่ความผิดพลาด มันไม่ใช่การเสียเวลา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วมันย่อมดีเสมอจริงๆ :))

ส่งท้าย ประโยคเดียวเลย ถ้าใครยังไม่แน่ใจ ยังลังเลว่าทางที่ไปจะใช่หรือไม่ เราจะเชียร์ให้ลองนะ ไปลองให้รู้ ไปเจ็บให้รู้ แล้วไม่ว่าทางที่เดินไปมันจะใช่หรือไม่ใช่ สุดท้ายแล้วเราเชื่อว่าทุกคนจะได้คำตอบ จะได้เจอทางเดินใหม่ๆหลังจากก้าวแรกที่ก้าวออกไปแล้วก้าวนั้น เพราะงั้น..ลองเหอะ โกๆ

Happy exploring นะคะทุกคน ;3

--

--